พื้นฐานของการลงทุนคือการได้ของมูลค่าที่ดีเมื่อเทียบกับจำนวนเม็ดเงินที่เราลงทุนไป
ดังสุภาษิตของ Warren Buffet ที่ได้กล่าวไว้ว่า
ราคาคือสิ่งที่คุณจ่าย มูลค่าคือสิ่งที่คุณจะได้รับ
ดังนั้นนักลงทุนหลายๆคนก็คงจะพยายามประเมิณมูลค่าของบริษัทที่เราสนใจก่อนที่จะลงทุนเสมอ
แต่บางครั้งการประเมิณมูลค่าของบริษัทก็ไม่ง่ายเหมือนใส่สูตรสักเท่าไหร่ เพราะถึงแม้จะมีสูตรที่แม่นยำมากสักเท่าไหร่ ก็ย่อมมีความผิดพลาดได้เช่นกัน
จริงๆแล้วการประเมิณมูลค่าหุ้นนั้นค่อนข้างเป็นจินตนาการมากกว่าคณิตศาสตร์เสียอีก เพราะหนึ่งในเกณฑ์การวัดมูลค่าหุ้นก็ขึ้นอยู่กับผลตอบแทนที่นักลงทุนแต่ละคนต้องการ
เช่นหากนักลงทุนที่ต้องการผลตอบแทนสูง ย่อมประเมิณมูลค่าหุ้นแตกต่างไปจากนักลงทุนที่เน้นกินปันผล
มีอีกหลายๆเทคนิกในการประเมิณมูลค่าหุ้น หนึ่งในนั้นมาจากหนังสือที่ชื่อว่า Random walk down wall street
ผู้เขียนได้ให้เทคนิกการประเมินมูลค่าหุ้นไว้เบื้องต้นค่อนข้างน่าสนใจ
เราควรจะยอมจ่ายเงินสูงขึ้นสำหรับบริษัทที่มีการเติบโตของกำไรและปันผลที่สูงกว่า และในระยะที่ยาวกว่า
ยกตัวอย่างเช่นหากร้านอาหารแห่งหนึ่งมีกำไรต่อปี ปีละราวๆ 1 ล้านบาท แต่ไม่เติบโต ในฐานะนักลงทุน เราก็อาจจะประเมิณมูลค่าของร้านอาหารแห่งนี้ได้ประมาณ 5 - 7 ล้านบาท
แต่หากร้านอาหารแห่งนี้มีการเติบโตของกำไร (รวมไปถึงปันผล) ปีละ 5% นักลงทุนอาจจะให้ราคาสูงขึ้น มูลค่าของร้านอาหารแห่งนี้อาจจะขึ้นไปถึง 10 ล้านบาทได้
และสุดท้าย หากร้านอาหารแห่งนี้ไม่ใช่ร้านอาหารแฟชั่น แต่มีลูกค้าประจำ มีแบรนด์ที่ดี ทำให้ร้านอาหารเป็นที่ชื่นชอบของลูกค้าอย่างยาวนาน มูลค่าของร้านอาหารแห่งนี้ก็อาจจะขึ้นไปราวๆ 12 ล้านบาทได้
เราควรจะยอมจ่ายเงินสูงขึ้นสำหรับบริษัทที่มี dividend yield ที่สูงกว่า ถ้าปัจจัยอื่นเหมือนกัน
หากเราย้อนกลับไปดูร้านอาหารข้างบน เราได้พบร้านอาหารจำนวน 2 ร้านที่มีลักษณะดังกล่าว ร้านหนึ่งจ่ายปันผลจำนวน 30% ของกำไร แต่อีกร้านหนึ่งจ่ายปันผล 50% ของกำไร
ในฐานะนักลงทุนเราก็น่าจะอยากได้ร้านที่มีปันผลที่สูงกว่า เพราะท้ายที่สุดแล้วหากปัจจัยทุกอย่างเหมือนกันหมด เมื่อเวลาผ่านไป ผลตอบแทนจากการลงทุนของร้านอาหารที่มีปันผลสูงกว่า จะดีกว่าร้านอาหารที่ปันผลน้อยกว่า
เราควรจะยอมจ่ายเงินสูงขึ้นสำหรับบริษัทที่มีความเสี่ยงต่ำกว่า ถ้าปัจจัยอื่นเหมือนกัน
ความเสี่ยงที่กล่าวถึงก็มีได้หลากหลายรูปแบบ เช่นความเสี่ยงจากประเภทของร้านอาหาร ความเสี่ยงจากการกู้ยืมเงิน
ร้านอาหารที่ดูแล้วมีความเสี่ยงสูงกว่า เราก็ย่อมต้องการในราคาที่ต่ำกว่า เหตุผลก็เพราะเราจำเป็นที่จำต้องเผื่อความผิดพลาดไว้มากกว่าร้านอาหารที่มีความเสี่ยงต่ำกว่า
เราควรจะยอมจ่ายเงินสูงขึ้นถ้าดอกเบี้ยต่ำลง และปัจจัยอื่นๆเหมือนกัน
ข้อนี้จะแปลกจากข้ออื่นๆตรงที่ดอกเบี้ยไม่ได้เป็นปัจจัยที่เกิดขึ้นโดยพื้นฐานของบริษัท แต่กลับกลายเป็นปัจจัยที่สำคัญมากที่สุดอย่างหนึ่งในการลงทุน
หากวันนี้ดอกเบี้ยเงินฝากอยู่ที่ประมาณ 10% ในขณะที่ปันผลของบริษัทที่ดีเยี่ยมอยู่ราวๆ 5% คำถามคือถ้าเกิดเหตุการดังกล่าวขึ้น นักลงทุนอยากจะลงทุนอะไรมากกว่ากัน?
แน่นอนว่าหลายๆคนก็จะต้องนำเงินไปฝากธนาคารดีกว่า เพราะความเสี่ยงดูจะต่ำกว่าหรือเท่ากันกับลงทุนในบริษัท แต่ผลตอบแทนสูงกว่าถึง 2 เท่า หากเป็นเช่นแล้วแปลว่าราคาหุ้นจะต้องถูกจนน่าดึงดูดที่จะลงทุนอย่างมาก
ปัจจุบันดอกเบี้ยเงินฝากอยู่ราวๆ 1% เพียงเท่านั้น ในขณะที่ปันผลของบริษัทที่ดีเยี่ยมอยู่ราวๆ 2 - 3% แต่ถึงกระนั้น เราก็อาจจะอยากลงทุนในบริษัทมากกว่านำเงินไปฝากอยู่ดี
.
จริงๆแล้วทุกสูตรคำนวนมูลค่าหุ้นก็จะอ้างอิงมาจากหลักการทั้ง 4 ข้อที่กล่าวไปทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็น DCF, DDM หรืออื่นๆอีกมากมาย
มันอาจจะไม่จำเป็นที่เราจะคำนวนมูลค่าหุ้นได้อย่างแม่นยำ เพราะการคาดการณ์อนาคตมักจะมากับความผิดพลาด
แต่สิ่งที่สำคัญกว่าสูตรคือเราจะต้องรู้แก่นการประเมิณมูลค่าให้ถูกต้อง แต่ 4 ข้อทั้งหมดน่าจะเป็นแก่นที่นักลงทุนสามารถนำไปปรับใช้ได้
ติดตามแบ่งปันความรู้การลงทุนได้ที่ Investdiary