บริษัท อีโนเว รับเบอร์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)
เข้าใจบริษัทง่ายๆ คือเป็นผู้ผลิตยางเพียงอย่างเดียว ไม่มีสินค้าอื่น
อุตสาหกรรมที่บริษัทมีส่วนร่วมคือ
- ยานยนต์
- ยางล้อจักรยานยนต์
- ภาคอุตสาหกรรม
- เครื่องใช้ไฟฟ้า
- ก่อสร้าง
- อีกหลายๆอุตสาหกรรม
ภาพรวมบริษัทค่อนข้างดี มีการกระจายสินค้าเข้าสู่หลายอุตสาหกรรม และเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีการใช้งานอย่างต่อเนื่อง มีการสึกหร่อ ทำให้เกิดการซื้อซ้ำเป็นอะไหล่ได้ด้วย
ปี 2559 รายได้ของบริษัทครึ่งหนึ่งจะมาจากยางล้อจักรยานยนต์ 2600 ลบ. ส่วนที่เหลืออีกครึ่งหนึ่ง 2600 ลบ. กระจายไปในอุตสาหกรรมต่างๆ (รวม 5200 ลบ.)
จะเห็นว่าถึงจะกระจายหลายอุตสาหกรรม แต่ปัจจัยที่ส่งผลสำคัญคืออุตสาหกรรมจักรยานยนต์
รถจักรยานยนต์ที่เราเห็นวิ่งตามท้องถนนทั่วไป ถ้าไปส่องดูที่ยางรถจะพบว่าเป็นของยี่ห้อ IRC เยอะเหมือนกัน ดังนั้นแปลว่าบริษัทนี้มีดีพอสมควร
แต่อุตสาหกรรมจักรยานยนต์ภายในประเทศก็ไม่ได้มีผลทั้งหมด เพราะบริษัทมีการส่งออกยางจักรยานยนต์ถึง 1,000 ลบ. ในปีที่แล้ว แปลว่าหากจักรยานยนต์ประเทศเพื่อนบ้านเติบโต บริษัทก็ได้ประโยชน์
..
มาดูผลประกอบการณ์กันบ้าง
รายได้รวม
2557 - 5,496.52 ลบ.
2558 - 5,186.25 ลบ.
2559 - 5,002.40 ลบ.
2560 - 5,331.47 ลบ.
1Q2560 - 1,288.89 ลบ.
1Q2561 - 1,366.11 ลบ.
กำไรสุทธิ
2557 - 313.47
2558 - 441.52
2559 - 513.63
2560 - 423.79
1Q2560 - 154.69 ลบ.
1Q2561 - 104.37 ลบ.
..
โดยรวมแล้วบริษัทดูจะไม่ค่อยเติบโตในแง่ของรายได้เท่าไหร่นัก จริงๆถ้าดูงบย้อนไป 10 ปีก็จะพบว่ารายได้วนเวียนแถวๆนี้มาตลอด ดูเหมือนบริษัทจะไม่ค่อยอยากเติบโตเท่าไหร่
แต่จริงๆก็มีส่วนที่บริษัทเติบโตดี คือยางล้อจักรยานยนต์ ซึ่งแต่ก่อนสัดส่วนรายได้ยังไม่ถึง 50% แต่ปัจจุบันเกิน 50% แล้ว
มาถึงปัจจุบัน จริงๆแล้วยานยนต์ภายในประเทศก็เริ่มฟื้นตัวแล้ว ทำให้บริษัทก็จะได้อนิสงค์พอสมควร เพราะมีสินค้าอยู่ในอุตสาหกรรมยานยนต์เยอะ
ซึ่งเมื่อรวมยางล้อจักรยานยนต์กับยานยนต์ฟื้นตัว ใน Q1 รายได้บริษัทก็เติบโตขึ้นจากปีก่อน
เมื่อทุกอย่างดูดีหมดบริษัทก็น่าจะมีกำไรเติบโต
แต่ต้นทุนผลิตของบริษัทกลับไม่เป็นใจ ราคาน้ำมันเพิ่มขึ้นทำให้ต้นทุนผลิตยางเพิ่มขึ้น หรือถ้าไปดูผงเขม่าดำก็ราคาปรับตัวขึ้นมาเยอะมาก (ให้ลองไปดูหุ้น TCB)
ทำให้โดยรวมแล้ว ต้นทุนเพิ่มเยอะกว่ารายได้ ผลที่ออกมาคือ margin ลดลง และมีกำไรสุทธิลดลง
เทรนด์แบบนี้ของบริษัทก็ไม่น่าตกใจมากนัก เพราะ GP ของบริษัทก็มีแนวโน้มลดลงมา 4 ไตรมาสติดต่อกันแล้ว
ช่วงที่ผ่านมาราคาน้ำมันก็ปรับขึ้นไปจนราคาแตะ $70 ก่อนจะปรับตัวลงมาเหลือราวๆ $60 ทำให้ต้นทุนของบริษัทก็น่าจะยังมีแนวโน้มแบบนี้ต่อไป
สัญญานที่ต้องเฝ้าดูคือหาก GPM เริ่มพลิกตัวดีขึ้น น่าจะเป็นสัญญานที่ดีตัวหนึ่ง
ติดตามแบ่งปันความรู้การลงทุนได้ที่ Investdiary