ช่วงนี้ราคาหุ้นใหญ่หลายตัวกำลังลงมาอยู่ในจุดที่ต่ำกว่าตอนเหตุการณ์ Covid-19 ทั้ง CPALL, BH, BDMS, KBANK, TCAP, KTB และอีกหลายๆตัว
ในตอนนั้นก่อนที่หุ้นจะขึ้นไปอย่างรวดเร็วเราอาจจะเสียดายและคิดว่าถ้ามันลงมาอีกเราจะซื้อแน่นอน
และตอนนี้มันลงมาแล้ว คำถามคือซื้อเลยดีมั้ย?
.
เมื่อก่อนผมยังไม่ค่อยเข้าใจความหมายของประโยคหนึ่งของ Charlie Munger ที่พูดว่า "ระยะสั้น ตลาดหุ้นจะเป็นเครื่องโหวต แต่ระยะยาวตลาดหุ้นจะเป็นตาชั่ง"
แต่พอคิดไปคิดมามันก็จริงนะ อธิบายง่ายๆ
ในระยะสั้น (อาจจะ 3-6 เดือน) ราคาหุ้นที่ขึ้นลงเป็นแนวโน้มจะเป็นผลมาจากการคาดการณ์ตามข้อมูลในมือของนักลงทุน ถ้านักลงทุนคิดว่าหุ้นดี หุ้นก็จะขึ้น แต่ถ้านักลงทุนคิดว่าหุ้นไม่ดี หุ้นก็จะลง
แต่เมื่อผลประกอบการณ์ได้ค่อยๆเฉลยออกมาเรื่อยๆในระยะกลาง ราคาหุ้นก็จะค่อยๆปรับตัวเข้าหาความเป็นจริงมากขึ้น หมายความว่าถ้าราคาหุ้นขึ้นมากเกินไปมันก็จะลงมา หรือถ้าราคาหุ้นลงมากเกินไปมันก็จะขึ้นมา
และท้ายที่สุดในระยะยาวราคาหุ้นก็จะวิ่งเข้าหาความเป็นจริง
.
เราลองมาดูตัวอย่างราคาหุ้นที่ผมนำมาโพส อย่าง CPALL นี่ที่เขาว่าเป็น Super Stock ซื้อถือระยะยาวยังไงก็ไม่ขาดทุน
ปัจจุบันราคาหุ้นลงต่ำกว่าช่วง Covid-19 ระบาดใหม่ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว นอกจากนี้ยังเป็นราคาที่ต่ำสุดในรอบ 3-4 ปีอีกด้วย
คำถาม... นักลงทุนกังวลอะไรและโหวตให้หุ้นลงมาอย่างต่อเนื่อง?
สาเหตุคร่าวๆ
- กำลังซื้อในประเทศที่ลดลง
- กำลังซื้อต่างประเทศหายไป
- Deal เทสโก้ที่อาจจะแพงไป
- สาขาใน ปตท. กำลังจะหมดอีกไม่กี่ปี อาจจะไม่ได้ต่อสัญญา
ปัจจัยทั้งหมด 4 ข้อนี้ยังไม่ได้สะท้อนมาในงบการเงินที่ออกไปแล้วและกำลังจะออกงวดหน้า แต่นักลงทุนก็โหวตล่วงหน้าไปเรียบร้อยแล้วว่าน่าจะยังไม่ดี
ส่วนหุ้นตัวอื่นเราก็ต้องลองทำการบ้านดูครับว่ามีปัจจัยอะไรมั้ยที่ทำให้นักลงทุนโหวตลง
หลังจากเราพอจะวิเคราะห์ปัจจัยที่น่ากังวลได้แล้ว เราก็ต้องมาชั่งน้ำหนักว่าสรุปแล้วปัจจัยเหล่านั้นมันชั่วคราวมั้ย และมีผลมากน้อยเพียงใด
แน่นอนว่า CPALL นั้นไม่น่าจะเจ๊งอยู่แล้ว และยังเป็นเบอร์ 1 ร้านค้าสะดวกซื้อต่อไปอีกอย่างน้อย 10 ปี ดังนั้นความแข็งแกร่งก็ไม่ต้องห่วง
แล้วการเติบโตยังจะไปได้อีกเท่าไหร่? คำตอบก็คือยังมีนะ โดยเฉพาะการได้สิทธิในการลุยตลาดต่างประเทศ
สรุปแล้วหุ้นถูกพอซื้อได้หรือยัง?
ส่วนตัวผมคิดว่าก็เป็นต้นทุนที่ได้เปรียบอยู่บ้าง และปัจจัยลบก็ไม่ได้เป็นภาพที่มืดมนเกินไปในระยะยาว แต่ไม่ได้หวังว่านี่จะคือจุดต่ำสุดนะครับ
ส่วนจะซื้อไม่ซื้อก็แล้วแต่จริตการลงทุนของแต่ละคน หรือถ้าหากเราเห็นบริษัทอื่นมีโอกาสมากกว่าก็ไม่จำเป็นต้องลงทุนก็ได้
.
สรุปเวลาเราจะดูว่าหุ้นลงมาเยอะ ถูกพอที่จะซื้อหรือยัง ผมอยากให้ค้นหาข้อมูลก่อนว่ามีปัจจัยลบอะไรที่นักลงทุนโหวตให้หุ้นลงมาเยอะ
จากนั้นให้เปรียบเทียบว่าเมื่อเทียบกับศักยภาพระยะยาวมากขึ้น ปัจจัยลบเหล่านั้นมีผลกระทบมากน้อยเพียงใด
สุดท้ายเราจะต้องซื้อหุ้นที่เราชอบและเราเชื่อมั่นศักยภาพในอนาคตได้ ถึงแม้ว่าระยะสั้นจะยังมีภาพลบ
ถ้าเราซื้อหุ้นที่เราไม่ได้ชอบหรือไม่เชื่อมั่นมากนัก ราคาหุ้นจะมีผลต่อการตัดสินใจมาก หุ้นขึ้นหน่อยก็กลัวลงมา หรือหุ้นลงหน่อยก็กลัวลงไปอีก
สุดท้ายถ้าเราไม่อยากรอให้หุ้นขึ้นนานมากนัก ก็หาจังหวะซื้อตอนที่เราเชื่อว่าภาพลบใกล้จะหมดไปแล้ว เช่น คาดการณ์ว่าภาพลบจะหมดอีกภายใน 1-2 ไตรมาสก็ได้
แต่ถ้าใครไม่ชอบติดตามใกล้ชิดขนาดนั้น เน้นถือสบายใจระยะยาวจริงๆก็ทะยอยซื้อไปเรื่อยๆตามความเสี่ยงที่เรารับได้
สุดท้ายนี้อยากบอกว่าหุ้นลงมาเยอะ ไม่ได้แปลว่ามันจะไม่สามารถลงไปได้อีก อย่าพยายามหาจุดต่ำสุดเพราะมันเป็นสิ่งที่ทำได้ยากมากที่สุด